"เมื่อเราทำหน้าที่ตามธรรมชาติถูกต้องแล้ว
ก็ได้รับผลเป็นที่พอใจ คือไม่ต้องเป็นทุกข์"
รู้จักความจริงของธรรมชาติ
โดย พุทธทาสภิกขุ
วิทยาศาสตร์ใน
ที่นี้หมายถึงความจริงของธรรมชาติ, ตามธรรมชาติ, ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ.
เดี๋ยวนี้ก็อยากจะพูดถึงเค้าเงื่อนของธรรมชาติ
ว่าเราพิจารณาดูแล้วเห็นเรื่องทุกเรื่องเป็นเรื่องของธรรมชาติ,
ในหลักของพุทธศาสนาจะเรียกว่าธรรมชาติเสมอกันหมด
ไม่มีอะไรมากไปกว่าธรรมชาติ. การศึกษาใหม่ ๆ การศึกษาฝรั่งก็ดี ที่มีคำว่า
super natural เหนือธรรมชาติ หรือผิดธรรมชาตินั้นน่ะ
เป็นคำพูดที่ไม่มีในพุทธศาสนา, ในพุทธศาสนาไม่มีคำว่า
เหนือธรรมชาติหรือผิดจากธรรมชาติ
มันจะเป็นธรรมชาติไปหมด. นี่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในโลก
ยังไม่ทันพุทธศาสนา เพราะว่าคำวิทยาศาสตร์ที่ใช้กันอยู่ในโลก
มันยังมีคำว่า super natural คือเหนือธรรมชาติ;
แต่หลักพุทธศาสนาไม่มีอะไรที่จะเหนือธรรมชาติ หรือผิดจากธรรมชาติ
เป็นธรรมชาติไปหมด.
รู้จักธรรมชาติที่มีอยู่ตามธรรมชาติ, รู้จักตัวของธรรมชาติ
จะเป็นร่างกายก็ได้ เป็นจิตใจก็ได้ เป็นความรู้สึกคิดนึก
เป็นการกระทำอะไรก็ได้ มันเป็นธรรมชาติ, แล้วมันก็มีกฎของธรรมชาติ
บังคับให้เป็นไป, แล้วมันก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำตามกฎนั้น ๆ,
แล้วก็ได้รับผลจากการกระทำนั้น ๆ.
เช่น
คนคนหนึ่งมีเนื้อหนัง ร่างกาย กระดูก โลหิต อะไรต่าง ๆ ทั้งหมดนี้คือ
ธรรมชาติ จะเรียกว่าประกอบอยู่ด้วยธาตุ ๔ ก็ได้,
หรือจะประกอบอยู่ด้วยธาตุอะไรก็แล้วแต่จะเรียกด้วยวิชาอะไร;
แต่ว่ามันเป็นธรรมชาติ มีมาตามธรรมชาติ สืบต่อกันมาตามธรรมชาติ
เป็นตัวธรรมชาติ.
ทีนี้ในตัวธรรมชาติ ในตัวธรรมชาตินี้
มันมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ มันจึงเปลี่ยนแปลง; เช่นเนื้อหนังของเรา
เจริญเติบโตได้ เป็นผู้ใหญ่ได้ เป็นของขับถ่ายออกได้ เป็นของเกิดใหม่ได้
เป็นของสะสมไว้ได้ นี่กฎของธรรมชาติทำให้เป็นอย่างนี้
ในตัวเรามีทั้งธรรมชาติ เป็นทั้งธรรมชาติ และมีกฎของธรรมชาติ.
แล้วเราก็มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ
นับตั้งแต่ว่าเราต้องกินอาหารต้องถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ
ต้องบริหารร่างกายให้ถูกต้อง มันจึงจะไม่ตายมันอยู่ได้;
ถ้ามันมีความทุกข์เกิดมาจากอะไร ก็ต้องบริหารให้ถูกต้อง,
ความทุกข์เกิดมาจากกิเลสตัวไหนข้อไหน ก็ต้องละกิเลสตัวนั้นข้อนั้น
แล้วก็ไม่มีความทุกข์;
นี้ก็กฎของธรรมชาติ. กิเลสเกิดขึ้นมา
เพราะความไม่รู้ความโง่ของมนุษย์นั้นเอง, ความโง่ของมนุษย์นั้นเอง
ปรุงให้เกิดสิ่งที่เรียกว่ากิเลส
แล้วสิ่งที่เรียกว่ากิเลสก็บังคับให้ทำไปผิด ๆ แล้วก็เดือดร้อนเป็นทุกข์
ทั้งตัวเองและผู้อื่น. ถ้าศึกษาเรื่องนี้ดี รู้อย่างเพียงพอแล้ว
กิเลสเกิดไม่ได้ คือโง่ไม่ได้นั่นเอง. เมื่อโง่ไม่ได้มันก็ไม่มีกิเลสเกิด
มันก็ไม่มีทำอะไรผิด, แล้วมันก็ไม่มีปัญหา มันไม่มีความทุกข์.
เมื่อเราทำหน้าที่ตามธรรมชาติถูกต้องแล้ว
ก็ได้รับผลเป็นที่พอใจ คือไม่ต้องเป็นทุกข์. มนุษย์เป็นอย่างนี้
มนุษย์เป็นอย่างนี้, แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็เป็นอย่างนี้,
แม้แต่สุนัขตัวหนึ่งนี้, ทั้งหมดนั้นมันก็เป็นธรรมชาติ
มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ทุกอณูทุกปรมาณู
ที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายของมัน มันเลยมีหน้าที่ตามแบบของมัน :
จะต้องกินอาหาร จะต้องถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ,
จะต้องบริหารอย่างนั้นอย่างนี้ตามกฎของธรรมชาติ มันรอดชีวิตอยู่ได้
มันได้รับผลจากการปฏิบัติถูกต้องตามหน้าที่ของธรรมชาติ.
ต้นไม้ต้นไล่นี้ก็เหมือนกัน มันมีตัวธรรมชาติ
ที่ประกอบกันขึ้นเป็นต้นไม้, จะเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
ธาตุอะไรก็แล้วแต่จะเรียกตามภาษาอะไร วิชาแขนงไหน.
ต้นไม้แต่ละต้นทั้งต้นนี้มันเป็นธรรมชาติ, แล้วมัน
มีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ ทุก ๆ ปรมาณู มันต้องเปลี่ยนไปทุก ๆ ปรมาณู
ตามกฎของธรรมชาติ. ดังนั้นต้นไม้จึงมีหน้าที่
ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ;
เช่นว่ามันจะต้องดูดน้ำขึ้นไป ดูดแร่ธาตุขึ้นไป เมื่อมีแสงแดด
มันก็ปรุงให้เป็นอาหารทางใบส่งกลับมาเลี้ยงลำต้นงอกงาม
แล้วมันก็รอดอยู่ได้ เพราะมันปฏิบัติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ.
ฉะนั้นเราจึงพูดว่า สิ่งที่มีชีวิตในระดับมนุษย์ก็ดี
ในระดับสัตว์เดรัจฉานก็ดี ในระดับต้นไม้ต้นไล่ก็ดี
อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์อันนี้, เพราะมันเป็นตัวธรรมชาติ, ได้,
แล้วมันถูกควบคุมอยู่ด้วยกฎของธรรมชาติทุก ๆ ปรมาณู.
นี่จะเรียกว่าเป็นสิ่งสูงสุด กฎของธรรมชาติเป็นสิ่งสูงสุด
เข้าไปควบคุมอยู่ในทุก ๆ ปรมาณู ที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลก;
แม้แต่ในกองอุจจาระกฎของธรรมชาติก็เข้าไปควบคุมกองอุจจาระ
ให้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นอย่างอื่นไปได้, กลายเป็นอาหารของหนอน
กลายเป็นอาหารของแมลงอะไรไปได้. นี่เรียกว่าไปควบคุมอยู่ทุก ๆ ปรมาณู
ที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลก, นี้เราเรียกว่ากฎของธรรมชาติ
ใครจะเรียกว่าพระเจ้า หรือใครจะเรียกอะไรก็สุดแท้ ไม่มีใครห้าม.
แต่สำหรับพุทธบริษัทก็เรียกว่า กฎของธรรมชาติ ควบคุมสิงสถิตอยู่ในทุก ๆ
ปรมาณู ของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นสากลจักรวาล, สากลจักรวาลจะมีกี่ปรมาณู
กี่อะตอม จะมีกฎของธรรมชาติเข้าไปควบคุมอยู่ทุก ๆ ปรมาณู
แล้วมันก็เป็นไปตามกฎนั้น.
ฉะนั้นสิ่งใดจะมีชีวิตรอด
สิ่งนั้นต้องประพฤติให้ถูกต้องตามกฎอันนั้น คือให้ถูกต้อง;
อย่างกฎวิทยาศาสตร์ที่ว่า The fittest the survival, the fittest the
survival - สิ่งใดเหมาะสมสิ่งนั้นจะรอดอยู่.
นี่มันจะต้องมีการประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามกฎของธรรมชาติ
ที่ควบคุมอยู่ในทุก ๆ ปรมาณู ของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลนี้.
แม้แต่ก้อนหินนี่ ไม่มีชีวิตนี้ มันก็ยังเป็นธรรมชาติ
มีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ทุกปรมาณู ให้ทุก ๆ
ปรมาณูของก้อนหินนี้เปลี่ยนไปตามกฎเกณฑ์อันนั้น,
และในที่สุดมันจะเป็นอย่างอื่น หรือมันจะเป็นอย่างไรก็สุดแท้
เพราะมันจะเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ.
นี้คือความเป็นวิทยาศาสตร์ ตามหลักแห่งพุทธศาสนา
ซึ่งอาตมาได้กล่าวแล้วว่า พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาประเภท evolutionist
ไม่มีเค้าเงื่อนแห่ง creationist เหลืออยู่เลย;
แต่การที่คนจะถือไขว้เขวกันนั้น มันห้ามไม่ได้มันแล้วแต่คน.
แต่ถ้าถือหลักพุทธศาสนาโดยตรง โดยถูกต้องแล้วมันจะมีลักษณะเป็น
evolutionist เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามกฎของอิทัปปัจจยตา,
แล้วก็สามารถที่จะใช้กฎเกณฑ์อันนี้ทำอะไรได้
สร้างนั่นสร้างนี่ขึ้นมาได้ โดยถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ,
สามารถที่จะสร้างอะไรขึ้นมาได้ สามารถที่จะเลิกร้างอะไรก็ได้
เพราะทำถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ.
ขอให้เรามองดูส่วนลึกที่สุด ของสิ่งที่เรียกว่าความจริง ๆ,
ความจริงของธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับจะค้นคว้า
สำหรับจะรู้ สำหรับจะบัญญัติแต่งตั้งกฎเกณฑ์อะไรต่าง ๆ;
เป็นสิ่งที่ว่าเป็นใจกลาง เป็นแกนกลางของสากลจักรวาล สากลจักรวาล ของ
cosmos, มันยิ่งกว่า ยิ่งกว่าทุกโลกอีกของสากลจักรวาล ทุก ๆ
จักรวาลรวมกันเป็นนี่, ไม่ใช่เพียงแต่ระหว่างชาตินะ มันระหว่างจักรวาล
ประกอบอยู่ด้วยกฎเกณฑ์อันนี้, แล้วจะอยู่เป็นใจกลาง
สำหรับที่ใครจะศึกษาให้รู้ แล้วก็ปฏิบัติ แล้วก็ได้รับผลตามที่ตนต้องการ;
จึงถือโอกาสว่า พูดในวันที่ว่ามันจะขึ้นปีใหม่ ขอให้ความรู้ของเราก้าวหน้า
ๆ ก้าวหน้า ไปตามคำว่า ปีใหม่ ๆ ปีใหม่เรื่อย ๆ ไป,
แล้วมันจะถึงความสมบูรณ์เข้าสักวันหนึ่ง
ถูกต้องตามความจริงทั้งหมดทั้งสิ้น, แล้วมนุษย์ก็จะหมดปัญหา.
มนุษย์ก็จะถือความจริงข้อเดียวกัน, ความจริงสิ่งเดียวกันแล้วก็จะรักใครกัน
เป็นมนุษย์คนเดียวกันทั้งสากลจักรวาล.
เดี๋ยวนี้ยังเป็นไปไม่ได้
แม้แต่ในประเทศไทยนิดเดียวก็ยังรักกันไม่ได้;
เว้นไว้แต่เมื่อไรเราจะเข้าถึงความจริงอันสูงสุดของสากลจักรวาล,
แล้วทุกคนจะยอมปฏิบัติ เป็นสมาชิกของสากลจักรวาลเดียว, จะรักใคร่กัน
จะเลิกเบียดเบียนกัน เลิกรบราฆ่าฟันกัน เลิกแย่งชิงกัน เลิกเอาเปรียบกัน
อย่างที่กำลังกระทำอยู่บัดนี้; เพราะมันมีตัวกู มีของกู
เกิดมาจากความโง่ของตน เห็นแก่ตน มีความเห็นแก่ตน.
เดี๋ยวนี้เพียงแต่ทุก ๆ ศาสนา
ช่วยกันทำลายความเห็นแก่ตนของมนุษย์ให้หมดไป ก็นับว่าประเสริฐที่สุดแล้ว
แล้วก็เป็นหน้าที่ด้วย. ไปศึกษาดูให้ดี โดยประวัติความเป็นมาของแต่ละศาสนา
ดูจะตั้งต้นขึ้นมาจากปัญหาที่เกิดมาจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ทั้งนั้น
คือมนุษย์ไม่รักกัน แล้วก็เดือดร้อนกันไปหมด,
หรือว่าเห็นแก่ตัวยึดถือตัวก็กลัวตาย อย่างนี้เป็นต้น
มันก็เดือดร้อนเป็นทุกข์ส่วนตัว. นี่เห็นแก่ตัว เบียดเบียนผู้อื่น
มันก็เป็นความทุกข์ส่วนสังคม, ความทุกข์ส่วนตัวหรือความทุกข์ส่วนสังคม
มันเกิดมาแต่ความเห็นแก่ตัว; เป็นหน้าที่ของแต่ละศาสนา จะต้องช่วยกันกำจัด,
แล้วศาสนาก็อย่ามาเห็นแก่ตัวเสียเอง จนเกิดการขัดแย้ง กระทบกระทั่ง
ทะเลาะวิวาทระหว่างศาสนาเลย.
*******
กิ่งธรรมจาก http://www.buddhadasa.org
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น