"ศาสนา" นั้น เขามีไว้หรือต้องการเพื่อจะทำความสุขให้แก่มนุษย์เป็นส่วนรวม คือโลกเป็นส่วนรวม. เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเรื่องถอยหลังเข้าคลองแต่ในทางที่จะเป็นหมัน ; เพราะว่า มนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกนี่หันหลังให้ศาสนา, สลัดสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ; เพราะว่าเขาไปหมกมุ่นมัวเมาแต่เรื่องทางฝ่ายวัตถุให้ก้าวหน้า ไปตามทางของความเจริญของคนสมัยนี้ ; แล้วการศึกษาของโลกสมัยนี้ ก็ถูกลากไป ทำตามความประสงค์อันนั้น"
ความไม่เห็นแก่ตัว
โดย พุทธทาสภิกขุ
นี่ขอ
ให้สังเกตดูให้ดี ๆ ในข้อนี้ว่า ความเจริญก้าวหน้าของโลกมีมากเท่าไร
ก็ยิ่งเพิ่มความเห็นแก่ตัวให้แก่คนในโลกมากขึ้นเท่านั้น ;
เพราะว่าความเจริญของโลกนั้น มีแต่เป็นไปในทางวัตถุ
ซึ่งเป็นธรรมดาของเรื่องแต่ในทางฝ่ายวัตถุ : เช่นเรื่องที่ยั่วยวน
เย้ายวนความต้องการให้มากยิ่งขึ้น. เมื่อ
ต่างคนต่างมีความต้องการมากยิ่งขึ้น ก็หลีกไม่พ้นที่จะมีความเห็นแก่ตัว,
เห็นแก่ความสุขส่วนตัวมากยิ่งขึ้น.
การ
กล่าวอย่างนี้ดู ๆ คล้ายกับว่า เป็นการติเตียนระบบการศึกษา
หรือความเจริญก้าวหน้าของโลกในปัจจุบันนี้. ที่จริงก็ควรจะติเตียน ;
ในฐานะที่อาตมาเป็นนักบวชในศาสนาก็อยากจะกล่าวตรง ๆ ว่าเป็นการติเตียน,
หรือจะเรียกว่าดูหมิ่นด้วยซ้ำไป ที่การศึกษาและความเจริญ ก้าวหน้าของโลก
ในปัจจุบันนี้ ก้าวหน้าไปในลักษณะที่เพิ่มความเห็นแก่ตัวให้คนในโลก ;
มิได้ก้าวหน้าไปในทางที่จะบรรเทาความเห็นแก่ตัว.
หากแต่ว่าความเห็นแก่ตัวนั้น มันเป็นไปอย่างเร้นลับ,
หรือการเพิ่มความเห็นแก่ตัวให้แก่คนในโลกนี้ ก็เป็นไปอย่างเร้นลับ
และโดยไม่เจตนา ; ทางออกมีอยู่หน่อยเดียวตรงที่ว่า "โดยไม่เจตนา".
การศึกษาหรือความเจริญก้าวหน้าแผนใหม่นี้
แม้ไม่ได้เจตนาที่จะไม่ทำให้คนเห็นแก่ตัว
ผลมันก็ยังมีไปในลักษณะที่มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ;
แม้ไม่มีเจตนาก็เป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบ ; ถ้าพูดให้ยุติธรรม.
นัก
ศึกษาหรือผู้ขวนขวายความก้าวหน้าในโลกปัจจุบันนี้
อาจจะไม่รับผิดชอบในข้อนี้, บิดพลิ้วบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมรับผิดชอบ,
แล้วก็ดำเนินการไปในทำนองนั้นมากขึ้น ทีนี้ บาปก็เกิดขึ้นในโลก
คือเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ; โลกก็ต้องมีความทุกข์ความเดือดร้อน
ไม่มีทางที่จะแก้ไขได้, อย่างที่ได้เห็นอยู่ชัด ๆ ว่า ไม่ได้ดีขึ้นเลย
ไม่อาจแก้ไขได้เลย เพราะว่าจิตใจหรือดวงวิญญาณหรือ
เจตนารมณ์ของสิ่งทุกสิ่งมันเป็นไปเพื่อเพิ่มความเห็นแก่ตัว.
นี่แหละเรียกว่าเป็นปัญหาใหญ่ของโลกในปัจจุบันนี้ จนกระทั่งเหลือวิสัย
เหลือกำลัง เหลืออำนาจของฝ่ายศีลธรรม หรือฝ่ายของศาสนา
ที่จะช่วยกำจัดหรือควบคุมความเห็นแก่ตัวในโลกนี้ได้.
ใน
สมัยโบราณที่แล้วมา ทางฝ่ายศาสนาหรือศีลธรรม
หรือขนบธรรมเนียมประเพณีของมนุษย์นั้นมีอิทธิพลมาก ;
ทางฝ่ายวัตถุยังไม่เจริญก้าวหน้า คนส่วนมากก็ไม่เป็นบ่าว
ไม่เป็นทาสของวัตถุมากเหมือนเดี๋ยวนี้.
เดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่ถูกทำให้มึนเมาด้วยความก้าวหน้าทางวัตถุ
ทางสุขสนุกสนานทางวัตถุ ถึงขนาดที่เรียกว่ามึนเมาและเสพติด,
คนส่วนใหญ่ในโลกจึงเป็นคนมึนเมาด้วยวัตถุ
แล้วก็เพิ่มความเห็นแก่ตัวมากขึ้นด้วยเหตุนั้น. ส่วนทางฝ่ายศาสนา ศีลธรรม
ประเพณีนี้กลายเป็นเรื่องหมดกำลัง ; เหลือแต่พิธีรีตอง, ทำพอเป็นพิธี.
ปัจจุบัน
นี้ไม่ว่าเมืองไทย หรือเมืองไหน ประเทศไหน ;
เรื่องทางฝ่ายศาสนาทำแต่พอเป็นพิธี และเป็นพิธีทั่วไป. แม้กระทั่งในกองทัพ
ในที่ ๆ ไม่น่าจะมี ก็มีพิธีทางศาสนา, ซึ่งก็เป็นเพียงพิธีเท่านั้น
ไม่ได้ครอบงำน้ำใจของคนทั้งหลายให้บรรเทาความเห็นแก่ตัวเลย ;
มันเลยทิ้งกันไกล.
ส่วนใหญ่และเนื้อแท้ในจิตใจของมนุษย์เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ;
ศาสนาหรือวัฒนธรรมหรือประเพณีก็กลายเป็นเพียงพิธีรีตองไป, ไม่มีอิทธิพล
ไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลังอันแท้จริง. เพราะฉะนั้น
โลกเรานี้จึงเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่งอยู่ในสมัยนี้,
เป็นปัญหาอย่างที่เรียกว่าเหลือประมาณ ครอบงำโลกสมัยนี้อยู่
มีมากมายหลายแขนงหรือทั่วทุกแขนง. จะถือโอกาสยกตัวอย่าง
เอามาให้ดูสักแขนงหนึ่ง เช่นเรื่องการกีฬา :-
เดี๋ยว
นี้ การกีฬา ที่จัดที่ทำกันอยู่ในโลกนี้ทั่ว ๆ ไปทั้งโลก
ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทย กลายเป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัว,
และอบรมน้ำใจที่ไม่เป็นนักกีฬา, นักกีฬาสมัยนี้เลวกว่านักกีฬาสมัยโบราณมาก
มีการเอาเปรียบทั้งต่อหน้าและลับหลัง, มีการทำอันตรายในสนามนั้นเอง,
มีความคิดที่จะเอาเปรียบอีกฝ่ายหนึ่ง คือฝ่ายตรงกันข้ามมาตั้งแต่บ้าน
มาตั้งแต่จะออกเดินทางมา,
แล้วก็คิดเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลาเป็นนักกีฬาแต่ชื่อแต่พิธีเท่านั้น
แต่ในจิตใจนั้นไม่เป็นนักกีฬา, ถ้าเป็นอย่างนี้อย่ามาเล่นกีฬา
อย่าจัดกีฬาขึ้น บางทีคนจะมีน้ำใจเป็นนักกีฬามากกว่า. พอว่าจัดกีฬาขึ้น
ก็เป็นโอกาสให้คนมีน้ำใจเอาเปรียบผู้อื่น เพราะความเห็นแก่ตัว ;
และยิ่งเล่นกีฬา อย่างที่คนในโลกเล่นกันอยู่ในบัดนี้
ก็คือยิ่งเพิ่มความที่ไม่ใช่นักกีฬา หรือเพิ่มความเห็นแก่ตัวมาก
ยิ่งกว่าที่จะลดความเห็นแก่ตัว.
นี่
เพราะ โลกก้าวหน้าทางวัตถุ คนที่เป็นนักกีฬาแต่ละคนเป็นไปในทางของวัตถุ
ต้องการวัตถุ ต้องการประโยชน์ ยิ่งกว่าต้องการน้ำใจนักกีฬา
ซึ่งเป็นธรรมะมากเกินไป ; เขาถือว่าไม่เห็นแก่ตัว เป็นอุดมคติมากเกินไป
ซื้ออะไรกินไม่ได้, sporting spirit นั้นมันซื้ออะไรกินไม่ได้
เป็นเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ. ส่วนเกียรติยศชื่อเสียงของประเทศชาติ หรือประโยชน์
ที่จะได้สนุกสนานจากการแข่งขัน การต้อนรับในการเลี้ยงดูนั้นมันมีมาก,
เลยคำนึงแต่เรื่องจะเอาชนะ ; ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล
ไม่ได้ด้วยกลก็เอาด้วยเวทมนต์ คือการเอาเปรียบนั่นเอง.
มนุษย์เราเลวลงมากถึงขนาดนี้
ว่าแม้แต่การจะเล่นกีฬาก็เป็นการเพิ่มความไม่เป็นนักกีฬาเสียแล้ว ;
เพราะว่า ทุกคนมึนเมาไปด้วยอำนาจของวัตถุ ซึ่งเรียกกันว่า
เป็นที่ตั้งของกิเลส.
ตัวอย่าง
เพียงเรื่องกีฬาเรื่องเดียว ก็เห็นได้ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปมากจากสมัยโบราณ
; นี่จะเรียกว่าด่า หรือจะเรียกว่าติเตียน หรือจะเรียกว่าดูหมิ่น
หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามใจเถิด. อาตมาพูดไปในฐานะที่เป็นนักบวชในศาสนาพุทธ
ได้มองเห็นสิ่งนี้อยู่อย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น.
รู้สึกว่าเป็นปัญหาที่เพิ่มให้มากขึ้นแก่ทางฝ่ายศาสนา ; ในเมื่อ
ทางฝ่ายศาสนาต้องการจะช่วยทำความสงบสุขสันติสุขให้แก่โลก มันก็เป็นไปไม่ได้
เพราะว่าคนในโลกเปลี่ยนไปในทางเห็นแก่ตัว
หรือเป็นทาสของฝ่ายวัตถุอย่างมากขึ้น.
ในที่สุดกิจกรรมทางฝ่ายศาสนาก็เป็นหมันไปโดยส่วนใหญ่,
ไม่สามารถจะสร้างสันติสุขให้แก่โลกได้, กลายเป็นเรื่องของบุคคลบางคน
ไม่กี่คนเพื่อแสวงหาความสุขอันแท้จริงทางฝ่ายจิตใจเท่านั้น
และมีเพียงไม่กี่คน.
สิ่ง
ที่เรียกว่า "ศาสนา" นั้น
เขามีไว้หรือต้องการเพื่อจะทำความสุขให้แก่มนุษย์เป็นส่วนรวม
คือโลกเป็นส่วนรวม. เดี๋ยวนี้
กลายเป็นเรื่องถอยหลังเข้าคลองแต่ในทางที่จะเป็นหมัน ; เพราะว่า
มนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกนี่หันหลังให้ศาสนา, สลัดสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ;
เพราะว่าเขาไปหมกมุ่นมัวเมาแต่เรื่องทางฝ่ายวัตถุให้ก้าวหน้า
ไปตามทางของความเจริญของคนสมัยนี้ ; แล้วการศึกษาของโลกสมัยนี้ ก็ถูกลากไป
ทำตามความประสงค์อันนั้น.
ท่าน
ที่เป็นนักศึกษาอย่าได้อวดดิบอวดดีไปเลยว่า เรามีอะไรเป็นตัวเรา,
เป็นอิสระ มีอุดมคติ มีหลักการอะไรของเรา ;
ที่จริงทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลกมันเป็นไปตามความนิยมของคนส่วนมากในโลก.
เมื่อคนส่วนมากในโลกมึนเมาในทางวัตถุธรรมเสียแล้ว
การศึกษาซึ่งจัดโดยคนในโลกนั้น มันก็ต้องเป็นอุปกรณ์
เพื่อวัตถุประสงค์อันนั้นไป. การศึกษาจะก้าวหน้าอย่างไร
มันก็เป็นไปเพื่อความเจริญทางวัตถุ,
และเพื่อเป็นทาสทางวัตถุกันมากขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ความก้าวหน้าทางวิชาความรู้
ทางแขนงไหนก็ตาม ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งความเจริญทางวัตถุ เพื่อมีอำนาจ
เพื่อมีกำลังที่จะต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามนั้นทางหนึ่ง, แล้วก็
เพื่อความฟุ่มเฟือยในการอยู่ดีกินดี
ตามที่เรียกกันในโลกปัจจุบันนี้อีกส่วนหนึ่ง. มันจึงมีวิกฤตกาลถาวรในโลกนี้
; เพราะเหตุนี้ถึงต่อสู้กัน แย่งชิงกัน แข่งขันกัน ในทางการศึกษา
ทางการสร้างความเจริญก้าวหน้า ทั่วไป.
ที
นี้ ขอให้ท่านทั้งหลายมองดูว่า spirit
ของการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่นมันเหลืออยู่ที่ตรงไหน ? spirit
ของอนุกาชาด คือการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่นนั้นมันเหลืออยู่ที่ไหน ?
ในจิตใจของคนในโลกสมัยนี้ ใคร กลุ่มไหน สมาคมไหน
กำลังทำประโยชน์ผู้อื่นอันแท้จริง ด้วยความบริสุทธิ์ใจบ้าง ?
แทบจะหาทำยายาก การช่วยกันดูเป็นการจ้างกันมากกว่า ; การที่คน ๆ หนึ่ง
พวกหนึ่ง หรือหมู่หนึ่งไปช่วยอีกหมู่หนึ่งนั้น
ดูเหมือนเพื่อจะผูกมัดเขาให้เป็นพวกของตัว,
หรือจ้างเขาให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมมือกันกับตัวมากกว่า.
น้ำใจแท้จริงที่บำเพ็ญประโยชน์ให้ผู้อื่นนั้น ค่อย ๆ จางไป ๆ ๆ
จนบัดนี้แทบจะไม่เหลือหลออยู่ในโลกนี้ แม้ในประเทศไทยเรา.
ดู
ตัวอย่างว่า เมื่อเรา ต้องการเงินสักจำนวนหนึ่ง
สมัยก่อนก็บอกกันได้ด้วยปาก แล้วก็ได้เงินจำนวนนี้มา.
สมัยนี้ต้องจัดงานบอลล์ กินเหล้า เมายา เป็นภูติผีปิศาจกันไปแทบทั้งหมด
จึงจะได้เงินมาสักจำนวนหนึ่ง จากการจัดงานบอลล์นั้นเป็นต้น.
นี่จะเห็นได้ว่า ไม่มีเจตนารมณ์ที่จะช่วยผู้อื่นด้วยบริสุทธิ์ใจ
ในการบริจาคเงินนี้ ; บริจาคไป เพราะได้กินเหล้า ;
หรือว่าได้ทำอะไรไปตามที่เขามีให้แล้วก็เพื่อเอาหน้าเอาตา
เพื่อให้มีชื่อว่า ตนได้บริจาคไปเท่านั้นเท่านี้ ;
แล้วก็เลี้ยงพวกบริจาคไปพลาง เอาเงินไปพลาง บางทีเงินนั้นเหลือนิดเดียว
เพราะเอาไปเลี้ยงสุรากันเสียหมดในงานบอลล์ครั้งนั้น.
นี่
มองเห็นได้ว่า เจตนารมณ์ที่จะบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น
หรือช่วยผู้อื่นนั้น เสียไปหมด ; มีแต่การหลอกลวง ในเมื่อปากพูดว่า
"นี่แหละเป็นการกุศล เพื่อช่วยการกุศล" เพื่อช่วยการกุศลอันนี้ ๆ.
แต่ใจจริงนั้นไปเพื่อกินเหล้าแล้วบริจาคอยากเอาหน้า
ไม่ได้บริจาคไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ.
นี่มันไม่เหมือนกับเมื่อครั้งสมัยบิดามารดา ปู่ย่าตาทวดของเรา
ซึ่งบริจาคอะไรก็ไม่ต้องเอาเหล้ามาให้กิน ท่านก็บริจาคกันได้ ; หมายความว่า
มันมีเจตนารมณ์ จะบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น มีอยู่เหลืออยู่
ในจิตใจของท่าน. เวลานี้เขาก็กำลังนิยมกัน
ไม่เท่าไรก็จะมาถึงจังหวัดนี้ถึงที่นี่ ที่จะมีการเรี่ยไร เพื่อจัดงานบอลล์
อย่างนี้เป็นต้น. วิธีเช่นนี้มันมาจากเมืองนอกแล้วก็มาเมืองไทย
แล้วก็ไปทุก ๆ หัวระแหง ; นี่ spirit ของการเห็นแก่ตัว, ไม่มี spirit
ของการเห็นแก่ผู้อื่น.
เท่า
ที่กล่าวมานี้ เป็นการมองดูโลกในปัจจุบันนี้ ว่ามีอยู่ในสภาพอย่างไร ?
มันสูงต่ำกว่าเจตนารมณ์ของพวกเราอนุกาชาดอย่างไร ? เดี๋ยวนี้
เรากำลังประชุมกันที่นี่เพื่อปรึกษาหารือกันใน หลักการอนุกาชาด
ซึ่งมีเจตนารมณ์ในทางไม่เห็นแก่ตัว, ให้เห็นแก่ผู้อื่น
มีการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น
และหวังว่าท่านทั้งหลายมีความตั้งใจอันดีในเรื่องนี้.
แต่เราก็ต้องมาพิจารณาดูถึงอุปสรรคที่มันเกิดขึ้น ; แล้วก็มองใกล้ ๆ
เรานับตั้งแต่เด็ก ๆ ของเรา เพื่อนฝูงของเรา ใกล้ ๆ นี่แหละ
ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีนี้.
เด็ก
ๆ ของเราเป็นอย่างไร ? นักเรียนของเรากำลังเป็นอย่างไร ?
แม้แต่ครูบาอาจารย์เองกำลังเป็นอย่างไร ?
ถ้าเด็กของเราและครูบาอาจารย์ของเรากำลังเดินตามก้นฝรั่ง
วัฒนธรรมอย่างฝรั่ง, เป็นอะไรลึกลับในทางเห็นแก่ตัว.
เห็นแก่ความเจริญอย่างวัตถุ เป็นไปเพื่อความอยู่ดีกินดีทางวัตถุแล้ว
เราก็จะต้องสูญเสียความรู้สึกที่บำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น
ไปอย่างเดียวกันทีละน้อยโดยไม่รู้สึกตัว ; แล้วเราก็จะเป็นอนุกาชาดแต่ชื่อ
ไม่ได้มีหัวใจบริสุทธิ์ที่จะบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น.
เป็น
"อนุกาชาดแต่ชื่อ" ก็หมายความว่า เป็นเพียงแต่ว่าให้ได้ติดเครื่องหมาย
หรือว่ามารับการอบรมครั้งนี้
ก็เพียงเพื่อจะให้เป็นคะแนนเกี่ยวกับงานในหน้าที่ เพื่อความดีความชอบไปเสีย
; มันก็จะกลายเป็นอย่างนี้ไปเสีย. ฉะนั้น ขอให้สำรวมให้ดี,
ให้ตั้งจิตอธิษฐานให้ดี ให้เปิดพิธีการอบรมนี้ ด้วยการจุดธูปบูชาพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ และตั้งใจว่าเราจะอบรม เราจะปลูกฝัง
เราจะยึดมั่นในอุดมคติที่เป็นการบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น.
ส่วนเรื่องคะแนนที่จะได้มาเกี่ยวกับเรื่องหน้าที่การงานนี้เป็นเรื่องเล็ก
น้อย และถ้าเอาแต่สนใจในเรื่องนั้นแล้ว จะกลายเป็น "คนเห็นแก่ตัว"
โดยไม่รู้สึกตัวได้เหมือนกัน.
ทานธรรมจาก http://www.buddhadasa.org
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น