ธรรมทาน ทานธรรม วันนี้เสนอการเตรียมกายเตรียมใจให้พร้อม อันเป็นการเตรียมภาชนะสำหรับรองรับสำหรับการเจริญสมาธิภาวนา ว่าอันไหนควรเตรียม อันไหนไม่จำเป็น ดังนั้นเรามาเตรียมกันเถอะ
ตอนที่สามความมุ่งหมายอันแท้จริงของบุพพกิจ
โดยพุทธทาสภิกขุ
บุพพกิจต่างๆ เหล่านี้ ถ้าอยากจะทำ ก็จะขอแนะนำ หรือชี้ความมุ่งหมายอันแท้จริง ของกิจเหล่านั้นไว้พอเป็นตัวอย่าง ดังต่อไปนี้ :-
(๑)
การทำความเคารพสักการะ แก่ท่านผู้เป็นประธานหรือเจ้าของสำนัก นั้น
เป็นธรรมเนียมของสังคมทั่วไป. ส่วนที่สำคัญกว่านั้น
อยู่ตรงที่จะต้องทำความเข้าใจกับท่านให้ถึงที่สุด
คือให้ท่านเกิดความเข้าใจในเราว่าเราเป็นคนอย่างไร มีกิเลส
มีนิสัยสันดานอย่างไร ต้องการความสะดวกเพื่อการปฏิบัติในส่วนไหน
ดังนี้เป็นต้น.
เพื่อท่านจะได้ไว้ใจเราและให้ความช่วยเหลือแก่เราอย่างถูกต้องและเต็มที่ได้
โดยง่ายดาย เป็นการปรารภธรรมะเป็นใหญ่ มิใช่ปรารภวัตถุหรือพิธีรีตอง
ดังกล่าวแล้ว. ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่อาจทำความเข้าใจกันได้
ก็อย่าเข้าไปสู่สำนักนั้นเลย ข้อนี้เป็นกิจที่ต้องทำในขั้นแรกที่สุด
และก็ทำเพียงครั้งเดียวเป็นธรรมดา
หลังจากนั้นก็มีแต่การประพฤติปฏิบัติให้ตรงตามข้อสัญญาหรือข้อตกลงต่างๆ
ที่มุ่งหมายจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ด้วยอาศัยความเมตตากรุณาเป็นที่ตั้งอย่างแท้จริง
(๒)
การถวายสักการะต่ออาจารย์ผู้สอนโดยตรงนั้น เหมือนกับการเคารพ
หรือการปฏิบัติอื่นๆ ต่อครูประจำชั้นของนักเรียน ในเมื่อการกระทำข้อ ๑
เป็นเรื่องที่จะต้องปฏิบัติต่ออาจารย์ใหญ่ หรืออาจารย์ผู้ปกครอง
หรือเจ้าของโรงเรียนอย่างในสมัยนี้.
ผู้ปฏิบัติจะต้องมีความเคารพและไว้วางใจในอาจารย์ผู้สอนของตนมากพอที่จะไม่
ละเลยต่อการที่จะฟัง หรือการนำไปคิด ไปพิจารณาด้วยความสนใจอย่างยิ่ง.
ถ้าความเคารพหรือความไว้วางใจมีไม่พอ ก็จะทำให้เกิดการฟังอย่างลวกๆ
การพิจารณาอย่างลวกๆ และอะไรก็ลวกๆ ไปเสียหมด.
ซึ่งเป็นมูลเหตุอันสำคัญของความล้มเหลว ตั้งแต่ระยะแรกไปทีเดียว
การทำความเข้าใจต่อกันและกันให้ถึงที่สุด นับว่าเป็นสิ่งสำคัญในข้อนี้
มิใช่ว่าสักแต่ว่าถวายเครื่องสักการะ ไหว้ๆ กราบๆ แล้วจะเป็นการเพียงพอ.
จะต้องมีการซักไซ้สอบสวนอย่างละเอียด เหมือนกับการตรวจโรคของหมอ
ที่จะพึงกระทำต่อคนป่วยที่มาขอให้รักษาทุกแง่ทุกมุมทีเดียว.
ความเคารพและความไว้วางใจ เป็นมูลเหตุให้มีการเปิดเผยถึงโรค คือ กิเลส
หรือกรรมอันเป็นบาปของตนเอง เฉพาะเรื่องเฉพาะรายไปทีเดียว.
เมื่อเกิดความเคารพและความรักใคร่ฉันบิดากับบุตร
หรือฉันอาจารย์กับศิษย์แล้ว สิ่งต่างๆ ก็ดำเนินไปด้วยดี
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ศิษย์จะพึงถวายแก่อาจารย์นั้น
จึงไม่ได้เป็นแต่เพียงธูปเทียนเป็นต้น
แต่ต้องเป็นความเชื่อฟังความซื่อตรงเปิดเผยและความไว้วางใจเป็นต้น
มากกว่าระเบียบการถวายดอกไม้ธูปเทียน ซึ่งเป็นเพียงวัตถุภายนอก;
ย่อมมีความมุ่งหมายถึงความรู้สึกภายในใจอย่างแท้จริง ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว.
ความใกล้ชิดสนิทสนมสืบต่อไปในกาลภายหน้าจะช่วยให้สิ่งเหล่านี้
เป็นไปในทางเจริญ หรือก้าวหน้ายิ่งขึ้น.
(๓)
การจุดธูปเทียนที่ที่บูชานั้น เป็นเรื่องของพิธี
ถ้าต้องทำก็ทำเพราะเห็นแก่พิธี หรือตามธรรมเนียมของสังคม.
ผู้ที่มีหัวใจอุทิศบูชาต่อพระรัตนตรัยอย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว
จะจุดหรือไม่จุดก็ได้.
แต่ถ้าจุดหรือมีการจุดก็ต้องไม่เป็นเรื่องที่ฟุ้งซ่านรำคาญ
หรือเป็นการทำลายเวลาให้เนิ่นช้า, สิ่งซึ่งเป็นเพียงพิธีเช่นนี้
เป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคม เพื่อความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน
ยิ่งกว่าที่จะเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการปฏิบัติ. ผู้ปฏิบัติในครั้งพุทธกาล
โดยเฉพาะพระสาวกของพระพุทธองค์นั้น ไม่เคยรู้จักธูปเทียนเหล่านี้
ไม่เคยจุดธูปเทียนเหล่านี้ ในขณะเช่นนี้ หรือจะพกติดตัวไปสำหรับไปจุดในป่า
หรือในที่สงัดทุกครั้งที่จะลงมือทำกัมมัฏฐานเลย. ผู้ปฏิบัติพึงวินิจฉัย
แล้วทำความแน่ใจอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป
เพื่อความสะดวกและไม่ฟุ้งซ่านในส่วนตัว และทั้งไม่ขัดขวางในทางสังคม
ในเมื่อต้องร่วมกันทำเป็นหมู่ใหญ่.
การซื้อหาธูปเทียนไว้จุดทุกคราวทุกครั้งที่จะลงมือทำกัมมัฏฐานนั้น
ย่อมแสดงอยู่ในตัวแล้วว่า
เป็นการทำของบุคคลประเภทสมัครเล่นเป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง.
ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงต้องทำอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก คือทุกอิริยาบถ
ทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งหลับและตื่น
แล้วจะเอาเวลาไหนมาเป็นเวลาตั้งต้นสำหรับจุดธูปเทียนเป็นประจำวันได้เล่า.
เขาควรพยายามจุดธูปเทียนในใจของตน ให้ลุกโพลงอยู่เสมอทั้งกลางวันและกลางคืน
ทั้งเวลาตื่นและเวลาหลับ
อย่าต้องลำบากด้วยการซื้อหาหอบหิ้วสิ่งเหล่านี้ให้มาเป็นการเพิ่มความลำบาก
ให้แก่ตนเลย ในเมื่อการปฏิบัติได้ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วจริงๆ.
(๔)
การแสดงอาบัติ หรือการรับศีล ในขณะที่จะรับกัมมัฏฐานครั้งแรก
หรือก่อนแต่ที่จะลงมือปฏิบัติเป็นประจำวันก็ตาม เป็นสิ่งที่น่าขบขัน.
ความหมายอันแท้จริงมีอยู่โดยหลักว่า ผู้ที่เจริญกัมมัฏฐาน
ซึ่งเป็นเรื่องทางใจโดยตรงนั้น ต้องมีกาย วาจาที่สะอาดเป็นพื้นฐาน
ไม่มีความรังเกียจกินแหนงตัวเองอย่างใดอย่างหนึ่งติดอยู่ในใจ
ถ้ามีความรู้สึกรังเกียจตัวเองอยู่ในใจ
ใจก็จะฟุ้งซ่านไม่มีทางที่จะทำสมาธิให้ใจสงบได้ เพราะฉะนั้น
เราจะต้องรู้จักปรับปรุงตัวเองในทางจิตใจ ให้มีจิตใจเรียบร้อย
สงบราบคาบมาเสียก่อน เช่นมีบาปกรรมอย่างไรติดตัวอยู่
หรือไปทำความชั่วอันใดไว้ ที่กำลังรบกวนกลุ้มรุมอยู่ในใจ
เขาต้องใช้สติปัญญาหรืออำนาจของสติปัญญาในทางที่จะสำนึกบาปกรรมอันนั้นด้วย
สติปัญญาจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่มาแสดงอาบัติเดี๋ยวนี้ หรือรับศีลกันเดี๋ยวนี้
ซึ่งดูเป็นการเล่นตลกมากกว่า.
ทางที่ถูกเขาจะต้องสะสางปัญหาข้อนี้ให้เด็ดขาดลงไปว่าบาปกรรมที่มีอยู่นั้น
จะไปพักไว้ที่ไหน จะไปเก็บไว้อย่างไร
จึงจะไม่มารบกวนจิตใจในขณะที่ตนกำลังจะทำกัมมัฏฐานอยู่ในขณะนี้
ถ้าเป็นเรื่องของพวกที่ถือความเชื่อเป็นหลัก เช่นพวกที่ถือพระเป็นเจ้า
ก็จะมีการแสดงบาป หรือแสดงอาบัติ
ให้แก่พระที่ทำหน้าที่รับอาบัติแทนพระเป็นเจ้าให้แก่ตนได้
แล้วตนก็มีจิตใจสะอาดทำกัมมัฏฐาน, แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำกัมมัฏฐานไปทำไมอีก
ในเมื่อบาปกรรมนั้นหมดไปได้ ด้วยการทำเพียงเท่านั้น.
นี่แหละเป็นทางที่ทำให้มองเห็นได้ว่า การทำกัมมัฏฐานของเรา
เป็นเรื่องของสติปัญญา และจะต้องทำเพื่อเอาชนะบาปกรรมด้วยสติปัญญา
ไม่ใช่ด้วยอาศัยพิธี หรืออาศัยความเชื่อแต่อย่างเดียว.
การสำนึกบาปของเราต้องเป็นการสำนึกด้วยปัญญา
รู้ว่าบาปกรรมมันเกิดขึ้นมาจากอะไร จะสิ้นสุดไปได้ด้วยอะไร
เราจึงจะมีจิตใจผ่องใสสงบรำงับพอที่จะทำกัมมัฏฐาน.
เราต้องมีความรู้แจ้งที่เป็นการแสดงอาบัติของเราอยู่ตลอดเวลา
คือสำนึกผิดในความผิด เล็งเห็นโทษของกรรมชั่ว
ปักใจแน่วแน่ในการที่จะทำเสียใหม่ให้ถูกให้ดีอยู่เป็นประจำ
ด้วยอำนาจของสติปัญญาหรือความรู้.ครั้นมาถึงโอกาสที่จะทำกัมมัฏฐาน
เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ตามความมุ่งหมายนั้นจิตก็อาจหาญร่าเริงเหมาะสมที่จะ
ทำกัมมัฏฐานอยู่ในตัวเอง ไม่มีความรังเกียจกินแหนง หรือวิปปฏิสารอันใด
มาครอบงำใจให้เศร้าหมอง หรือเกิดความท้อแท้ฟุ้งซ่านขึ้นในขณะนั้นได้
เราก็จะทำสมาธิได้สำเร็จ เป็นสมาธิจริงๆ และเป็นปัญญาจริงๆ ยิ่งขึ้นไป
ด้วยเหตุนี้แหละจึงเห็นว่า
พิธีแสดงอาบัติหรือการรับศีลกันในขณะที่เป็นการคับขัน
หรือเข้าด้ายเข้าเข็มเช่นนี้ เป็นการเล่นตลกหรือน่าขันไปเสีย. ฉะนั้น
ผู้ปฏิบัติผู้ใดยึดมั่นในการทำเช่นนั้น
ก็กลายเป็นผู้ปฏิบัติชนิดสมัครเล่นไปตามเคย. แต่ถ้าเราจะต้องทำ
ก็ควรจะทำได้ พอเป็นพิธีเพื่อไม่ให้ขัดใจคนอื่น
แต่โดยเนื้อแท้แล้วเราจะต้องสำนึกบาปอยู่ตลอดเวลา
มีกำลังแกล้วกล้าเพียงพอในการที่จะทำงาน
ที่จะเอาชนะบาปเหล่านั้นให้ได้อยู่เป็นประจำตลอดวันตลอดคืน
และเป็นผู้เพียบพร้อมที่จะทำกัมมัฏฐานอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก.
(๕)
การมอบตัวต่อพระรัตนตรัยนั้น
เป็นสิ่งที่ควรมีอยู่ตลอดกาลไม่ใช่เพิ่งมามอบกันเมื่อจะทำกัมมัฏฐาน
ด้วยอาการของคนจนตรอกเช่นนี้. ถ้าไปทำเข้า
มันก็กลายเป็นเพียงพิธีรีตองล้วนๆ ไปตามเดิม
ถ้ามากไปกว่านั้นก็เป็นเรื่องหน้าไหว้หลังหลอกต่อพระรัตนตรัยไปโดยไม่รู้สึก
ตัว. หรือถ้ามากไปกว่านั้นอีกคือเพิ่งมามอบเพื่อเห็นแก่ใครคนใดคนหนึ่ง
หรือหมู่คณะใดคณะหนึ่ง,
ซึ่งเป็นการแสดงว่าบุคคลนั้นมีความสำคัญยิ่งกว่าพระรัตนตรัย ดูอะไรๆ
มันขลุกขลักเหมือนกับคนเตรียมไม่พร้อมไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
มีพื้นฐานไม่เหมาะสมที่จะก่อสร้างสิ่งที่ประณีตหรือสูงสุดเอาเสียเลย.
ขอย้ำว่าเราจะต้องมีการมอบตัว คือการไว้วางใจในพระรัตนตรัยถึงที่สุดแล้ว
มาก่อนหน้านั้น จึงมีปีติปราโมทย์อันแท้จริง
ที่จะเกิดกำลังส่งเสริมกัมมัฏฐาน อย่างมั่นคงและเพียงพอ.
(๖)
การมอบตัวต่ออาจารย์ ก็อย่างเดียวกัน คือเป็นเรื่องของเหตุผลและสติปัญญา
มิใช่พิธีรีตอง ถ้าใจไม่เชื่อ
หรือสติปัญญาไม่ยอมรับว่าอาจารย์ผู้นั้นจะเป็นประโยชน์อะไรแก่ตนแล้ว
ก็ไม่ควรจะมีความลำบากเรื่องการมอบตัวอะไรกันให้เสียเวลา
ใจความสำคัญอยู่ตรงที่จะต้องศึกษาซึ่งกันและกันให้เข้าใจซึ่งกันและกันจริ ๆ
แล้ว จะทำพิธีหรือไม่ทำพิธีนั้น ย่อมมีเหตุผลอยู่อีกส่วนหนึ่งต่างหาก,
ถ้าทำดีกว่า ก็ทำ, ถ้าไม่ทำดีกว่า ก็ไม่ควรทำ ชนิดที่สักว่าพอเป็นพิธี.
ขอให้คิดดูให้ดีเถิดย่อมจะเห็นได้ด้วยตนเองว่า
พิธีเช่นนี้แหละจะทำให้คนต่างศาสนาที่จะเข้ามาสู่ศาสนานี้
เกิดความรังเกียจไม่ไว้วางใจ หรือเลยไปกว่านั้นจนถึงกับประณามว่า
มันเป็นแบบแผนของคนป่าเถื่อน สมัยโบรมโบราณก่อนประวัติศาสตร์
หรืออย่างดีที่สุดก็กลายเป็นเรื่องของพวกที่ถือพระเจ้า
ด้วยอำนาจศรัทธาและภักดีมากกว่าที่จะเป็นของพุทธศาสนา ซึ่งมากไปด้วยปัญญา
และมุ่งหมายจะทำลายความยึดถือตัวเองอย่างแท้จริง;
ฉะนั้นถ้าต้องทำก็ทำเพียงเพื่อพิธี
หรือไม่ให้เป็นที่ขัดใจของสังคมที่ยังติดในพิธี
หรือเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกในใจให้เต็มรูปของพิธีเท่านั้นเอง
อย่าได้ถือว่าข้อนี้เป็นหลักสำคัญของพุทธศาสนา
ซึ่งไม่มีความประสงค์จะผูกพัน หรือทำให้เกิดความผูกพันโดยไม่มีเหตุผล.
ความผูกพันอันนี้มุ่งหมายเป็นการเปิดโอกาสให้อาจารย์ว่ากล่าวดุด่า
หรือเรียกร้องสิ่งใดได้ตามความพอใจเท่านั้นเอง
แต่เมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สูงไปกว่านั้น
คือเป็นเรื่องที่ต้องทำด้วยความเมตตากรุณา และสติปัญญาจริงๆ แล้ว
ทั้งฝ่ายอาจารย์และฝ่ายศิษย์ไม่ควรยึดมั่นด้วยอุปาทาน
หรือความไม่ไว้วางใจตัวเอง ของตนๆ ให้มากไปเลยมันจะกลายเป็นอุปสรรค
ที่จะขัดกันต่อหลักการทั่วๆ ไปก็ได้.
มันเป็นเรื่องที่ติดเนื่องมาจากเรื่องที่ต่ำกว่านี้ คือเรื่องขั้นต้นๆ
ของบุคคลที่เพิ่งถูกชักจูงเข้ามาสู่ศาสนานี้เท่านั้น.
ในครั้งพุทธกาลไม่ปรากฏการทำเช่นนี้ในอริยวินัย. เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
ในเมื่อต้องการจะให้สิ่งต่างๆ รัดกุมยิ่งขึ้นในยุคหลังๆ เท่านั้น.
(๗)
การขอกัมมัฏฐาน ด้วยบทสำหรับกล่าวขอว่า “นิพฺพานสฺส เม ภนฺเต สจฺฉิกรณตฺถาย
กมฺมฏฺฐานํ เทหิ” นี้เห็นได้ชัดว่า
ถอดแบบมาจากการขอบรรพชาอุปสมบทตามแบบลังกาโดยแท้.
ไม่มีลักษณะสำนวนของสมัยพุทธกาลเลย : แต่นับว่า
เป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญและถูกต้องตามความหมายของเรื่องจริงๆ
เป็นการป้องกันที่ดี ที่จะไม่ให้คนขอกัมมัฏฐาน
เพื่อประโยชน์อย่างอื่นซึ่งเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว เช่น
ทำกัมมัฏฐานเพื่อเกิดนั่นเกิดนี่ มีนั่นมีนี่ เป็นคนวิเศษเหนือคนอื่น
สำหรับโอ้อวดกัน หาประโยชน์หรือชื่อเสียงมาให้ตัว.
แม้การกระทำเพื่อได้ญาณทัสสนะอันวิเศษ เช่น มีหูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นต้น
ก็ไม่ยกเว้นคือเป็นสิ่งที่ยังไม่ตรงต่อความมุ่งหมายอยู่นั่นเอง.
พระพุทธองค์ทรงยืนยันหรือทรงกำชับว่า พรหมจรรย์นี้ต้องเป็นไปเพื่อวิมุตติ
หลุดพ้นจากความทุกข์อย่างเดียวเท่านั้น
มิใช่เป็นไปเพื่อสิ่งซึ่งมีคุณค่าต่ำกว่านั้น หรือผิดแผกแตกต่างไปจากนั้น
เช่นว่าประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความเป็นคนมีศีล หรือเป็นคนมีสมาธิ
หรือเพื่อความเป็นคนมีญาณทัสสนะวิเศษต่างๆ ก็หาไม่.
นั่นเป็นเพียงกระพี้ของพรหมจรรย์ ผลอันแท้จริงของพรหมจรรย์คือ นิพพาน
อย่างเดียว.
ถ้าผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐานทุกคนถือตามหลักพระพุทธองค์ข้อนี้กันอย่างแน่นแฟ้น
แล้ว สิ่งที่ไม่งดงามต่างๆ
ก็จะไม่เกิดขึ้นในหมู่บุคคลผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐานไปได้เลย.
ผู้ปฏิบัติควรจะศึกษาเรื่องราวอันแท้จริงของพระนิพพาน
แม้แต่ในทางทฤษฎีมาให้เพียงพอเสียก่อน ก็ยังเป็นการดีอยู่มากมาย
เพราะจะได้มุ่งเข็มตรงไปยังพระนิพพานได้โดยง่าย.
ส่วนที่แน่นอนที่สุดและดีที่สุดนั้น
อยู่ตรงที่จะต้องมองเห็นความทุกข์อย่างชัดเจน และอยากพ้นทุกข์อย่างแรงกล้า
เหมือนกับบุคคลที่ถูกจับศีรษะกดลงไปใต้ผิวน้ำ
มีความต้องการอยากจะขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น.
นั่นแหละเป็นความปลอดภัยสำหรับความมุ่งหมายที่จะเข้าทำกัมมัฏฐานในพระศาสนา
นี้. เพราฉะนั้น เมื่อนักปฏิบัติผู้ใดได้กล่าวคำขอกัมมัฏฐานออกไปว่า
“นิพฺพานสฺส เม ภนฺเต สจฺฉิกรณตฺถาย กมฺมฏฺฐานํ เทหิ” เป็นต้น
ดังนี้แล้วก็ขอให้มีความรู้สึกในใจอันถูกต้องโดยนัยดังกล่าวมาแล้วนั้นจริงๆ
ก็จะเป็นการไม่เสียหายในการทำพิธีอันนี้
ซึ่งเป็นเหมือนการเตือนย้ำอยู่เสมอว่ากัมมัฏฐานนี้ต้องเพื่อนิพพานเท่านั้น
หรือขยายออกไปมากกว่านั้น ก็ว่า เพื่อมรรค ผล นิพพานเท่านั้น
และขออย่าให้เข้าใจคำว่า “มรรคผล” ผิดต่อไปอีก
เพราะเป็นคำพูดที่อาจจะเข้าใจเฉไฉเลือนออกไปได้ยิ่งกว่าคำว่า นิพพาน ;
อย่างที่เรามักจะได้ยินกันว่าเงินทองเป็นมรรคผลอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน.
นี่ถูกเอามาใช้เป็นภาษาพูดของคนทั่วไป ในความหมายอันต่ำกว่าเดิมมากมาย
ผลจึงเกิดมีขึ้นว่าคนแห่กันไปทำกัมมัฏฐานที่นั่นที่นี่
เพราะอยากบรรลุมรรคผล
แต่แล้วมรรคผลนั้นก็เป็นแต่เพียงสีลัพพัตตปรามาสอย่างใดอย่างหนึ่งไปเสีย
ความวุ่นวายต่างๆ
จึงเกิดขึ้นในหมู่บุคคลผู้แห่กันไปทำกัมมัฏฐานนั่นเองอย่างน่าเวียนหัว.
ขอให้พิจารณาดูเถิดว่า ความเข้าใจถูก หรือเข้าใจผิด
ต่อความมุ่งหมายของการทำกัมมัฏฐานนั้น มีความสำคัญอย่างไร. เพราะฉะนั้น
ถ้านักปฏิบัติผู้ใดมีความประสงค์ต่อกัมมัฏฐานก็ดี
หรือออกปากขอกัมมัฏฐานก็ดี ควรจะเป็นผู้ที่มีการศึกษาเรื่องของพระนิพพาน
หรือมองเห็นความทุกข์ในวัฏฏสงสารอย่างประจักษ์ชัดแก่ใจตนอย่างเพียงพอ
จึงจะมีความปลอดภัยในการที่นำตนเข้ามาเกี่ยวข้องกับกัมมัฏฐาน
ไม่มีทางที่จะตกเป็นเหยื่อของบุคคลหรือของกิเลสได้เลย.
(๘)
การเชื้อเชิญกัมมัฏฐาน ที่ทำกันราวกะว่าเป็นพระเจ้า
หรือเทพเจ้าองค์หนึ่งนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ
ควรจะถือเอาความหมายแต่เพียงว่าตั้งใจจะทำกัมมัฏฐานข้อใดข้อหนึ่ง
หรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ให้สำเร็จลุล่วงไปวันหนึ่งๆ อย่างเต็มความสามารถ.
ถ้าจะให้มีการเชื้อเชิญ ก็ควรจะเป็นการเชื้อเชิญตนเองหรือปลุกปลอบใจตนเอง
ให้มีความอาจหาญร่าเริง มีความขยันขันแข็ง สุขุมรอบคอบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ให้เต็มไปด้วยอิทธิบาท ๔ ประการ คือ ฉันทะ วิริยะ
จิตตะ และวิมังสานั้นเอง จะเป็นการถูกกว่าหรือดีกว่า.
เมื่อเชื้อเชิญตนเองในลักษณะเช่นนี้ได้แล้ว
สิ่งที่ทำก็จะประสบความสำเร็จเท่ากับสามารถเชื้อเชิญองค์พระกัมมัฏฐานให้มา
โปรดได้เหมือนกัน. การที่นักปฏิบัติในกาลก่อน
เกิดสมมติธรรมะให้เป็นบุคคลขึ้นมาเช่นนี้เข้าใจว่าเป็นเพียงความเหมาะสม
เฉพาะถิ่น เฉพาะยุค หรือเฉพาะกลุ่มชน
ที่ตามปรกติมีความยึดมั่นถือมั่นในความขลังและความศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นเอง.
นับว่าเป็นการพ้นสมัยแล้วในการที่จะทำเช่นนั้นอีก.
(๙)
การแผ่เมตตาให้ตนเอง ควรจะหมายถึงความรักตัวเอง ความเคารพนับถือตัวเอง
ในทางที่จะสนับสนุนกำลังใจของตัวเอง
ให้มีความพอใจหรือความเพลิดเพลินในการกระทำมากยิ่งขึ้นเป็นส่วนใหญ่.
ส่วนการแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายตลอดจนถึงผู้มีเวรนั้น
ควรถือเอาความหมายอย่างสั้นๆ ไปในทางที่ว่า บัดนี้เราไม่มีเวรต่อใครหมด
ยินดีละเวร แม้จะตกเป็นผู้ถูกเขาทำ แต่ฝ่ายเดียว จนกระทั่งเสียชีวิตก็ยอม
เพื่อจิตจะไม่ระแวงภัยโดยสิ้นเชิง
ในการที่ตัวไปนั่งในที่เปลี่ยวปราศจากการคุ้มครองแต่อย่างใดทั้งสิ้น.
และอีกทางหนึ่งก็คือทำจิตให้เป็นมิตรแก่ทุกคน
หรือราวกะว่าทุกคนมีหุ้นส่วนในการกระทำของตน
เพราะการกระทำนี้ทำเพื่อความดับทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายในโลกด้วย
และทำในใจเหมือนกับชีวิตทุกชีวิตที่แวดล้อมอยู่รอบข้างนั้นเป็นญาติมิตรที่
สนับสนุนการกระทำของเราอยู่อย่างเต็มที่.
(๑๐)
การสวดพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ด้วยเสียงนั้น ควรจะเว้นเสียในขณะนี้
หรือกรณีเช่นนี้ แต่ควรจะทำในใจให้เป็นอย่างยิ่ง ในการที่จะรำลึกว่า
คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
กำลังคุ้มครองสัตว์โลกทั้งปวงอยู่อย่างแท้จริง
แม้เราเองที่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
และมาอยู่ในสถานที่กำลังจะปฏิบัติเพื่อคุณธรรมอันสูงยิ่งขึ้นไปในขณะนี้
ก็ด้วยอำนาจคุณของพระรัตนตรัย และจะดำเนินต่อไปในคลองของพระรัตนตรัย
จนถึงที่สุดด้วยการอุทิศชีวิตจิตใจทั้งหมดสิ้นจริงๆ.
ควรจะรำลึกจนเกิดความปีติปราโมทย์ ความพอใจ และความกล้าหาญ
ในการที่จะปฏิบัติต่อไปจริงๆ.
(๑๑)
การอธิษฐานจิตต่อธรรมที่ตนกำลังปฏิบัตินั้น เป็นอุบายที่ควรกระทำโดยแท้
เพื่อความเชื่อมั่นหรือความพอใจ ในสิ่งที่ตนกำลังกระทำอย่างสูงสุด.
ถ้าปฏิบัติกัมมัฏฐานข้อใด ควรจะได้รับการแนะนำ
ให้มีความเข้าใจในเรื่องของกัมมัฏฐานข้อนั้น
อย่างน้อยที่สุดก็ให้เป็นที่แน่ใจว่าเหมาะแก่กิเลสหรือความดับทุกข์ของตน
สามารถขจัดปัญหาต่างๆ ได้จริง จึงจะสำเร็จประโยชน์ในการอธิษฐาน.
อุบายที่เป็นการเพิ่มกำลังใจหรือรักษากำลังใจ ในการทำจิตของตนเช่นนี้
มิใช่มีความจำเป็นแต่ในวงการทำกัมมัฏฐาน
แต่จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่หรือทำกิจทั่วไปทุกอย่าง
หากแต่ว่าในการปฏิบัติกัมมัฏฐานนี้มีหลักเกณฑ์รัดกุม มีหลักฐานแน่นอน
ยิ่งเรียน ยิ่งคิด ยิ่งพิจารณา
ก็ยิ่งมีความแน่ใจจึงเป็นการง่ายอยู่ส่วนหนึ่ง
ในการที่จะรักษาความแน่ใจอันนี้เอาไว้ได้ตลอดเวลาและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในขณะที่กำลังจะทำกัมมัฏฐานนั่นเอง. ถ้าไปทำให้เป็นเรื่องบุคลาธิษฐาน
ไปอ้างวิญญาณของพระพุทธเจ้า หรือพระสาวกขึ้นมาอีกมันก็วกกลับไป
เป็นเรื่องพิธีรีตองของพวกที่มัวเมาอยู่ด้วยศรัทธาอีกนั่นเอง.
ควรระวังให้ก้าวหน้าไปให้ได้
ไม่ย้อนไปสู่ภูมิของบุคคลที่ยังงมงายอยู่ด้วยความยึดมั่นถือมั่นในทางขลัง
หรือศักดิ์สิทธิ์เป็นอันขาด แต่ให้เป็นการอยู่ในอำนาจของสติปัญญา
หรืออำนาจของเหตุผล ที่เนื่องมาแต่ความรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองเสมอไป
เท่าที่จะทำได้.
(๑๒)
สำหรับการอุทิศการปฏิบัติในวันหนึ่งๆ หรือแม้แต่ความตั้งใจแน่วแน่
ในการที่จะปฏิบัติต่อไป เพื่อบูชาคุณพระพุทธองค์นั้น
เป็นสิ่งที่ควรกระทำโดยแท้;
แต่ก็ต้องระวังอย่าให้เป็นเพียงพิธีเช่นเดียวกัน
ต้องให้เป็นความสำนึกตนอยู่อย่างเต็มที่ว่า การกระทำนี้
ถูกพระหฤทัยหรือตรงตามพระพุทธประสงค์อย่างยิ่ง
และสมควรที่จะใช้เป็นเครื่องบูชาพระพุทธองค์ได้จริงๆ
ไม่มีการหน้าไหว้หลังหลอกต่อพระพุทธองค์ หรือต่อตัวเองแม้แต่อย่างใด.
นับว่าเป็นกิจสุดท้ายประจำวันวันหนึ่งๆ
ที่จะต้องทำเพื่อเป็นเครื่องตั้งตนไว้ ในคลองของธรรมอย่างแน่นแฟ้น.
สรุปความว่า
สิ่งที่ต้องทำไปในฐานะที่เป็นบุพพภาคของการเจริญกัมมัฏฐานนั้น
ไม่มีอะไรที่จะเป็นพิธีรีตองไปได้
เพราะไม่ใช่เรื่องของพิธีรีตองแม้แต่น้อย. มันเป็นหน้าที่โดยตรงบ้าง
เป็นเทคนิคของการแวดล้อมจิตใจให้มีกำลัง
และให้เดินตรงแน่วแน่ไปในหนทางอันลึกซึ้งบ้าง
ล้วนแต่มีเหตุผลของมันเองโดยเฉพาะ.
ขอให้ทุกคนระมัดระวังตั้งใจทำให้ดีที่สุด
ให้ตรงตามความหมายอันแท้จริงของเรื่องนั้นๆ.
สำหรับการใช้อุบายแวดล้อมจิตใจให้เกิดกำลังโดยเฉพาะเป็นต้นนั้น
ขอให้สังเกตอุปนิสสัยใจคอของตนเองให้มากเป็นพิเศษ จึงจะทำได้สำเร็จเต็มที่.
แม้การกระทำอย่างอื่น ซึ่งมิได้ระบุไว้ในที่นี้ก็อาจนำมาใช้ได้ เช่น
การรำลึกถึงความตายก็ดี รำลึกถึงระยะเวลาอันสั้น
ที่มีอยู่สำหรับเราผู้ประสงค์จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้นี้
ก็ดี รำลึกถึงบุญคุณของผู้มีพระคุณ เช่น บิดามารดาเป็นต้นก็ดี
หรือแม้ที่สุดแต่การสำนึกในหน้าที่
ที่จะช่วยกันเผยแผ่พระศาสนาโดยการปฏิบัติให้ดู
หรือรับผลของการปฏิบัติให้เขาดูก็ดี
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ควรนำมากระตุ้นจิตใจ
ในโอกาสที่จะทำการปรับปรุงจิตชนิดนี้ ได้ด้วยกันทั้งนั้น.
ใจความสำคัญอยู่ตรงที่มีความรู้สึกว่า
เรากำลังกระทำถูกต่อสิ่งที่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่งแล้วนั่นเอง. ทั้งหมดนี้
ให้ถือว่าเป็นบุพพกิจทั่วไป สำหรับบุคคลผู้เตรียมตัวปฏิบัติกัมมัฏฐาน.
ธารธรรม https://sites.google.com/site/smartdhamma
ธารธรรม https://sites.google.com/site/smartdhamma
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น